ประกันสังคมมาตรา 40

ประกันสังคมมาตรา 40 คืออะไร ? ผู้ทำประกันได้สิทธิประโยชน์อะไรบ้าง

ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม มาตรา 21 ได้ให้ความหมายของประกันสังคมไว้ว่าเป็นกองทุนใช้จ่ายให้ผู้ประกันตนได้รับประโยชน์ทดแทน โดยในปัจจุบันแบ่งประเภทประกันสังคมเอาไว้ 2 ประเภท คือ

  • ประกันสังคมภาคบังคับ (ประกันสังคมมาตรา 33) ผู้ประกันตนจะต้องเป็นลูกจ้างที่ทำงานในสถานประกอบการเข้าระบบประกันสังคมเอาไว้
  • ประกันสังคมภาคสมัครใจ เป็นการประกันตนเองด้วยความสมัครใจของผู้เอาประกันแบ่งออกเป็น 2 มาตรา คือ ผู้ประกันตนมาตรา 39 และผู้ประกันตนมาตรา 40

ความแตกต่างของประกันสังคมภาคสมัครใจ มาตรา 39 และผู้ประกันตนมาตรา 40

  • ประกันสังคมมาตรา 39 ผู้ที่จ่ายเงินสมทบในมาตรา 33 มาแล้วไม่ต่ำกว่า 1 ปี และเมื่อออกจากงานยังคงมีความประสงค์ที่จะประกันตนเองต่อไปจึงจะเป็นผู้ประกันตนมาตรา 39
  • ประกันสังคมมาตรา 40 คือ ประกันสังคมมาตรา 40 เป็นทางเลือกในการประกันตนเองของบุคคลทั่วไปที่ไม่ได้เป็นผู้ประกันมาตรา 33 และ 39 อายุทั้งแต่ 15 – 65 ปีบริบูรณ์ ซึ่งผู้ประกันตนในประกันสังคมมาตรา 40 สิทธิประโยชน์หลัก 5 กรณี คือ
    1. กรณีประสบอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วยเป็นเหตุให้ขาดรายได้ โดยผู้ประกันตนที่เป็นผู้ป่วยในจะได้รับค่าชดเชยในกรณีที่ต้องนอนพักรักษาตัวตั้งแต่ 1 วันขึ้นไป หรือเป็นผู้ป่วยนอกที่มีใบรับรองแพทย์ให้หยุด 3 วันขึ้นไป โดยประกันสังคมจะจ่ายค่าทดแทนในกรณีเป็นผู้ป่วยใน 300 บาทต่อวันและเป็นผู้ป่วยนอก 200 บาทต่อวัน ทั้งนี้เงื่อนไขในการรับสิทธิทดแทนผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอกรวมกันไม่เกิน 30 วันต่อปี
    2. กรณีทุพพลภาพเป็นเหตุให้ขาดรายได้ ผู้ประกันตนจะได้รับเงินทดแทนเป็นรายเดือนเริ่มต้น 500 – 1,000 บาท เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 15 ปี ไปจนถึงตลอดชีวิต
    3. กรณีเสียชีวิต ผู้จัดการศพจะได้รับเงินค่าทำศพเริ่มต้น 25,000 – 50,000 บาท
    4. กรณีสงเคราะห์บุตร ผู้ประกันตนจะได้รับเงินสงเคราะห์บุตรเป็นรายเดือนตั้งแต่แรกเกิด – 6 ปีบริบูรณ์ (คราวละไม่เกิน 2 คน)
    5. กรณีชราภาพ ผู้ประกันตนจะได้รับเงินสมทบเริ่มต้นเดือนละ 50 – 150 บาท

การจ่ายเบี้ยประกันสังคมมาตรา 40 มีให้เลือก 3 แบบ

  1. ทางเลือกที่ 1 จ่ายเบี้ย 70 บาท/เดือน ผู้ประกันตนจะได้รับความคุ้มครองใน 3 กรณีหลัก คือ กรณีประสบอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วย, ทุพพลภาพและเสียชีวิต
  2. ทางเลือกที่ 2 จ่ายเบี้ย 100 บาท/เดือน ผู้ประกันตนจะได้รับความคุ้มครองใน 4 กรณีหลัก คือ กรณีประสบอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วย, ทุพพลภาพ, ชราภาพและเสียชีวิต
  3. ทางเลือกที่ 3 จ่ายเบี้ย 300 บาท/เดือน ผู้ประกันตนจะได้รับความคุ้มครองครบทั้ง 5 กรณี โดยในส่วนของกรณีเสียชีวิตผู้จัดการศพจะได้รับค่าทำศพสูงสุด 50,000 บาท

การคุ้มครองประกันสังคมมาตรา 40 แบ่งออกเป็นกรณี ดังนี้

  • กรณีประสบอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วย ผู้ประกันตนจะได้รับความคุ้มครองเมื่อจ่ายค่าเบี้ยมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3 เดือน
  • กรณีทุพพลภาพ ผู้ประกันตนจะได้รับความคุ้มครองเมื่อจ่ายค่าเบี้ยไม่น้อยกว่า 6 – 36 เดือน ภายในระยะเวลาเริ่มต้น 10 – 60 เดือน ก่อนทุพพลภาพ
  • กรณีเสียชีวิต ผู้ประกันตนจะต้องจ่ายค่าเบี้ยไม่น้อยกว่า 6 เดือน ภายในระยะเวลา 12 เดือนก่อนเสียชีวิต ทั้งนี้ในกรณีอุบัติเหตุถึงแก่ชีวิต ผู้เอาประกันจะได้รับความคุ้มครองตั้งแต่การจ่ายค่าเบี้ยครบ 1 เดือนภายในระยะเวลา 6 เดือนก่อนเสียชีวิต

หลายคนมองข้ามเรื่องประกันสังคม วันๆเอาแต่เชียร์วิเคราะห์บอลวันนี้บ้างล่ะ ดูทีวีเรื่อยเปื่อยทั้งที่เรื่องนี้เป็นของใกล้ตัวเราแทบทุกคน การเข้าร่วมเป็นผู้ประกันตนในมาตรา 40 เป็นสิ่งที่ช่วยกระจายความเสี่ยงของการแบกรับภาระค่าใช้จ่ายเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน เจ็บป่วย หรือเสียชีวิตเบื้องต้นได้ ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนประกันสังคม 1506 และสมัครประกันสังคมมาตรา 40 ด้วยตัวเองได้ที่สำนักงานประกันสังคม หรือสมัครผ่านเว็บไซต์ประกันสังคม www.sso.go.th, 7-11, ธนาคาร ธกส.และ Big C ซูเปอร์เซ็นเตอร์ทุกสาขาทั่วประเทศ

งานใหม่เปรียบเหมือนฝันร้าย ควรรับมืออย่างไรดี

งานใหม่เปรียบเหมือนฝันร้าย ควรรับมืออย่างไรดี

ทุกวันนี้มีอาชีพไหนไม่ยากลำบากบ้าง เจอสถานการณ์กดดันบีบบังคับให้หลายคนเปลี่ยนอาชีพใหม่หรือย้ายที่ทำงาน แต่งานใหม่กลับเหมือนฝันร้าย ไม่ว่าจะพิจารณาข้อเสนอและเงื่อนไขของงานอย่างรอบคอบแล้ว แต่ไม่มีทางแน่ใจได้ว่างานนั้นจะน่าพอใจจนกว่าจะได้ลองทำงานจริง จะทำอย่างไรถ้างานใหม่ไม่ใช่งานในฝันอย่างที่คิด 

การเปลี่ยนงานหรือที่ทำงานแต่ละครั้งยุ่งยากไม่น้อย ควรพิจารณาให้ดีก่อน เพราะการเปลี่ยนงานหลายที่ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือ เสียเวลาในการเรียนรู้และปรับตัวกว่างานจะเข้าที่เข้าทาง ยิ่งเป็นสายงานที่ต้องการความสัมพันธ์แบบมืออาชีพ คนที่อยู่ในตำแหน่งแค่ช่วงสั้นๆ ไม่ถึง 2 ปี ยังไม่ทันได้สร้างผลงานและประสบการณ์ที่จะเพิ่มเงินเดือนที่อยากได้หรือโอกาสก้าวหน้า อีกทั้งนายจ้างก็ไม่กล้าลงทุนกับคนที่ทำงานไม่นานแล้วลาออกกลางคัน

เมื่อพิจารณาแล้วว่างานใหม่ไม่ถูกใจ มาดูวิธีรับมือกับงานใหม่ที่ไม่ชอบกัน

1.ให้เวลาตัวเองเรียนรู้และปรับตัว อย่าเพิ่งเลิกคาดหวังกับงาน ให้เวลาตัวเองปรับตัวเข้ากับงานใหม่ เพื่อนร่วมงาน และวัฒนธรรมขององค์กร เป็นเรื่องยากที่ต้องทำปรับตัวหลายอย่างในตอนแรก ค้นหาว่าปัญหาคืออะไร สาเหตุที่ไม่ชอบ รอผ่านไประยะหนึ่งแล้วพอทุกอย่างเริ่มเข้ารูปเข้ารอยค่อยตัดสินใจว่ามีโอกาสแก้ไขเพื่ออยู่ต่อทุ่มเทกับงานอย่างเต็มที่ หากมีเหตุผลชัดเจนว่าทำไมต้องออกไปแสวงหางานใหม่ที่เหมาะกับตัวเองมากขึ้น

2.คุยอย่างเปิดอกกับเจ้านายและเพื่อนร่วมงาน เมื่อทำงานให้ดีที่สุดแล้วแต่ยังคงไม่พอใจกับงานที่ทำ อย่าเพิ่งรีบยื่นใบลาออกในทันที ควรทบทวนอย่างมีสติค้นหาว่าสาเหตุเกิดจากอะไร จากนั้นพูดคุยแบบเปิดอกเพื่อปรับปรุงทัศนคติ ตระหนักถึงข้อดีและสิ่งที่ชอบ ช่วยกันคิดปรับเปลี่ยนสิ่งต่างๆ ให้ทำงานง่ายขึ้น ใช้ชีวิตง่ายขึ้น เร็วที่สุดก่อนที่สถานการณ์จะแย่ลงจนกระทั่งเกลียดสิ่งที่ทำ 

3.เริ่มหางานใหม่เมื่อตระหนักได้ว่าปัญหาที่มีกับงานใหม่แก้ไขไม่ได้ มองหางานอย่างเงียบๆ เตรียมอัปเดทประวัติย่อและโปรไฟล์การทำงานที่จะดึงดูดความสนใจของผู้จ้างงาน การเลือกงานครั้งนี้ควรเรียนรู้จากประสบการณ์ความผิดพลาด เพิ่มความสุขุมรอบคอบในการเลือกงานใหม่ เมื่อเจองานถูกใจและพร้อมเปลี่ยนงานใหม่แล้วค่อยบอกเจ้านาย เตรียมแจ้งลาออกล่วงหน้าตามกฎระเบียบขององค์กร

เหตุผลที่งานใหม่ไม่เข้าตาอาจเป็นเพราะทัศนคติทำให้รู้สึกว่าบางอย่างไม่ถูก อย่าด่วนตัดสินเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ที่ยังไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย ลองเรียนรู้และประเมินข้อดีข้อเสีย แม้ว่าการหางานใหม่อาจไม่ใช่ปัญหาสำคัญ เพราะมีคุณสมบัติที่นายจ้างส่วนใหญ่ต้องการ แต่การอยู่ไม่ทนอาจสร้างปัญหาใหญ่ในอนาคต พยายามปรับตัวสักระยะเมื่อผ่านพ้นสถานการณ์ไปได้ ปัญหาที่คิดว่าหนักหนาอาจจะคลี่คลายไปได้ สุดท้ายถ้าคิดว่างานไม่เหมาะกับตัวเราจริงๆ ค่อยเตรียมตัวให้พร้อมออกจากบริษัทไปอย่างสง่างาม

เคล็ดลับการทำงานไปด้วยเลี้ยงลูกไปด้วย

เคล็ดลับการทำงานไปด้วยเลี้ยงลูกไปด้วย

การทำงานอยู่ที่บ้านอาจดูเหมือนฝันที่เป็นจริงสำหรับหลาย ๆ คน ช่วยเลี่ยงการเดินทาง ลดเสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 และได้ใช้เวลากับครอบครัวมากขึ้น แต่การทำงานไปด้วยเลี้ยงลูกไปด้วยเป็นสถานการณ์ที่ยากลำบาก อยู่ไม่น้อยโดยเฉพาะสำหรับมือใหม่ ด้านหนึ่งต้องมีสมาธิจดจ่ออยู่กับงาน ทำงานอย่างมีความรับผิดชอบต่ออาชีพ อีกด้านหนึ่งก็ต้องแบ่งแยกเวลาอยู่ร่วมกับลูกที่เรียนออนไลน์ที่บ้านหรือเรียนแบบโฮมสกูลในระยะนี้ เรามีเคล็ดลับการจัดสรรเวลาสร้างสมดุลระหว่างงานและการดูแลเด็กมาฝากกันดังนี้

1.ปรับทัศนคติมองข้อดีมากกว่าข้อเสีย

การทำงานจากที่บ้านสำหรับพ่อแม่บางคนอาจเป็นการเปลี่ยนแปลงไม่คาดคิดมาก่อน ไม่รู้ว่าจะต้องปรับตัวมากขนาดไหนให้รับมือกับรูปแบบการทำงานทางไกลซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับทุกคน จำเป็นต้องปรับทัศนคติมองเห็นข้อดีของการทำงานจากที่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นการหลีกเลี่ยงการเดินทางในแต่ละวัน ลดความเครียดที่เกิดขึ้นในที่ทำงาน มีเวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้น ได้กินอาหารเย็นพร้อมหน้ากัน

2.ปรับตารางเวลาสร้างสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว

การทำงานที่บ้านจะแบ่งเวลาตามใจไม่ได้ ควรจัดตารางเวลาตามความเหมาะสม ก่อนอื่นต้องลำดับความสำคัญและเขียนกิจกรรมต่าง ๆ ลงไปตามช่วงเวลา ตื่นเช้ามาก็รู้ว่าต้องเตรียมตัวทำอะไรบ้างจะช่วยให้มีสมาธิจดจ่อกับงานมากขึ้น ตั้งสติทำงานให้เสร็จไปทีละอย่าง มีวินัยเคร่งครัดมากเท่าไรยิ่งปรับตารางการใช้ชีวิตได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น ทั้งทำงานบ้าน ดูแลเด็ก ช่วงหยุดพัก หรือเวลาพักผ่อน ไม่เพียงสร้างสมดุลระหว่างเวลางานและชีวิตส่วนตัวมากขึ้นเท่านั้น​ แต่ยังปรับกิจวัตรให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงในแต่ละวันได้ง่ายขึ้นด้วย

3.ปรับเวลาทำงานแบ่งเป็นช่วงสั้น ๆ

พ่อแม่ที่ทำงานพร้อมกับเลี้ยงทารกหรือเด็กเล็กไปด้วยต้องเหน็ดเหนื่อยกว่าคนอื่น ๆ เพราะปล่อยเด็กไว้ตามลำพังไม่ได้เลย ต้องแบ่งเวลาทำงานเป็นช่วงสั้น ๆ หาโอกาสที่ลูกน้อยนอนหลับเป็นช่วงเวลาเหมาะที่สุด ควรฝึกทำสมาธิจดจ่อกับงานและแบ่งหน้าที่ระหว่างพ่อและแม่ช่วยกันดูแลเด็กที่บ้าน ถ้าคนหนึ่งออกไปทำงาน อีกคนต้องหาเวลาช่วยเหลือแบ่งเบามากขึ้น

4.มีพื้นที่ส่วนตัวเพื่อโฟกัสกับงานมากขึ้น

เด็กเล็กไม่มีความอดทนมากพอ ไม่นั่งนิ่งอ่านหนังสือนาน ๆ อาจวิ่งเข้ามากระโดดโลดเต้นเรียกร้องความสนใจ พ่อแม่ควรจัดพื้นที่ทำงานในบ้านให้มีความเป็นส่วนตัวเพื่อให้ใจจดจ่อกับงานไม่มีสิ่งรบกวนสมาธิ หากไม่มีห้องว่างสามารถจัดมุมใดมุมหนึ่งวางโต๊ะทำงานเปลี่ยนเป็นโฮมออฟฟิศได้ ข้อสำคัญคือกำหนดเวลาทำงานและตั้งกฎกับทุกคนในครอบครัวห้ามรบกวนช่วงเวลาใดบ้าง เพื่อให้การทำงานทางไกลมีประสิทธิภาพมากขึ้น

งานไม่ใช่เรื่องสำคัญสิ่งเดียวในชีวิต การเป็นพ่อแม่ก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน ควรให้ความสำคัญกับความผาสุกของครอบครัว อย่าทำงานหนักจนกลืนกินชีวิตส่วนตัว อย่าลืมให้ความสำคัญกับการดูแลตนเองด้วย การบริหารจัดการเวลาอย่างถูกต้อง รู้ขีดจำกัดของตนเอง ดูแลสุขภาพให้แข็งแรงและผ่อนคลายจากความเครียดจะส่งผลดีต่อประสิทธิภาพการทำงานและทำให้ชีวิตง่ายขึ้น

เลี่ยง 5 สาเหตุอันตราย ป้องกันไฟไหม้บ้าน

เลี่ยง 5 สาเหตุอันตราย ป้องกันไฟไหม้บ้าน

ไฟไหม้บ้านเป็นภัยใกล้ตัวที่ต้องระมัดระวังและป้องกันให้ดี ไฟไหม้แต่ละครั้งก่อความเสียหายทั้งทรัพย์สินและชีวิตที่ต้องสูญเสียไปเพราะอัคคีภัยที่เกิดขึ้นในบ้านพบได้บ่อยจากสาเหตุความประมาทเลินเล่อ มาดูกันว่ามีวิธีป้องกันเบื้องต้นได้อย่างไร

1.ไฟลุกจากธูปและเทียนไข
บ่อยครั้งที่เหตุไฟไหม้เกิดจากความประมาท จุดธูปและเทียนไขทิ้งไว้โดยไม่มีใครดูแล ควรดับเปลวไฟก่อนออกจากบ้านหรือก่อนเข้านอนทุกครั้ง การสูบบุหรี่บนเตียง โซฟา หรือที่อื่น ๆ แล้วเผลอหลับทำให้ก้นบุหรี่หล่นบนพรมและสิ่งของที่ติดไฟได้ทำให้เกิดเพลิงไหม้โดยไม่ได้ตั้งใจ เช็คให้แน่ใจว่าไฟก้นบุหรี่ดับสนิท ป้องกันไม่ให้เศษกระดาษหรือสิ่งที่ทิ้งลงในถังขยะเกิดติดไฟขึ้น

2.ไฟลัดวงจร อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชำรุด
ตรวจเช็กสายไฟและระบบไฟฟ้าในบ้าน สายไฟต่อพ่วงและปลั๊กพ่วงที่ใช้งานหนักจนโอเวอร์โหลดอาจเป็นอันตรายเพราะใช้งานเกินขีดจำกัดทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจรได้ ส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้งานมานานขาดการบำรุงรักษา หากสายไฟหลุดลุ่ยหรือหลุดออกทำให้เกิดประกายไฟเป็นสาเหตุให้ไฟไหม้ลุกลามได้เช่นกัน เช็กอุปกรณ์ต่าง ๆ เป็นประจำตามคำแนะนำด้านความปลอดภัย

3.ระวังไฟไหม้ในห้องครัว
ตรวจเช็กเตาแก๊สเป็นระยะ ถ้าเตาเก่าและชำรุดอาจทำให้แก๊สรั่วเกิดไฟลุกไหม้หรือแก๊สระเบิดทำให้ไฟไหม้บ้านในที่สุด ทำความสะอาดภายในเตาอบอย่างน้อยเดือนละครั้งป้องกันไม่ให้คราบอาหารที่สะสมนานวันเกิดติดไฟขึ้น อาหารบางชนิดมีเนยและน้ำมันเป็นส่วนผสมที่อาจติดไฟขณะปรุงอาหาร ให้ปิดเตาแก๊สและเอาฝาครอบภาชนะปิดสนิทไม่ให้ออกซิเจนเข้าไปเป็นเชื้อไฟเพิ่มขึ้น อย่าให้วัตถุที่ติดไฟได้อยู่ใกล้เตาแก๊สมากเกินไป ปิดวาล์วเตาแก๊สและถังแก๊สให้เรียบร้อยในครัวควรมีถังดับเพลิงสำหรับแก๊สและน้ำมันติดไฟโดยเฉพาะ

4.เครื่องอบผ้าเสี่ยงเกิดไฟไหม้
เครื่องอบผ้าเป็นอุปกรณ์ที่ต้องใช้งานอย่างระมัดระวัง หากการระบายอากาศไม่ดีและผ้าเลอะคราบน้ำมัน การใช้ความร้อนอบอาจทำให้น้ำมันร้อนขึ้นและเกิดเปลวไฟได้ หากเครื่องอบผ้าระบายอากาศได้ไม่ดีอาจเป็นอันตรายจากไฟลุกไหม้ได้เช่นกัน ควรทำความสะอาดคราบน้ำมันให้หมดก่อนใช้งานเครื่องอบผ้าเสมอ

สาเหตุของไฟไหม้บ้านส่วนใหญ่ป้องกันได้ ทำตามคำแนะนำในการป้องกันอัคคีภัยและหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดไฟไหม้บ้านได้ เช่น อย่าปล่อยให้เด็กเล่นไฟ จัดบ้านให้เป็นระเบียบไม่มีสิ่งของรกที่อาจเพิ่มเชื้อไฟและจัดเก็บวัตถุไวไฟไว้ในพื้นที่เฉพาะ ไม่ต้มน้ำหรือเปิดแก๊สทิ้งไว้จนน้ำแห้งเป็นเหตุให้ไฟไหม้บ้านได้เช่นกัน อย่าปล่อยปละละเลยเปิดพัดลมทิ้งไว้ข้ามคืน ควรถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าเมื่อไม่ใช้งาน หากจำเป็นควรมีเครื่องตรวจจับควันไฟและถังดับเพลิงเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉิน

ปี 2021 ลงทุนอะไรดีให้มีเงินใช้

ปี 2021 ลงทุนอะไรดีให้มีเงินใช้

ปี 2021 ยังคงเป็นอีกปีหนึ่งที่ไวรัสโควิดระบาดอยู่ ทำให้คนจำนวนไม่น้อยมีเงินออมที่ลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ บ้างก็ตกงานและต้องการหารายได้เสริมด้วยการลงทุนให้เงินงอกเงย ทั้งนี้ การลงทุนมีหลากหลายแบบ เราจำเป็นต้องเลือกชนิดที่มีความเสี่ยงในระดับที่ยอมรับได้ ซึ่งหากประสบความสำเร็จ ก็อาจจะยึดเป็นอาชีพที่มีกระแสเงินสดไหลเข้ากระเป๋าได้อย่างต่อเนื่อง เรามาดูกันว่าจะมีทางเลือกอะไรบ้างที่น่าลงทุนในปี 2021

1.DCA ในกองทุนหุ้น
สำหรับคนที่ไม่มีเวลาเรียนรู้เรื่องหุ้นแต่ละตัว ก็สามารถเฉลี่ยความเสี่ยงโดยการซื้อกองทุนหุ้น ผ่านวิธีลงทุนแบบ DCA หรือกำหนดวันที่จะให้ธนาคารตัดเงินในบัญชีไปซื้อกองทุนนั้น ๆ เพื่อลดความเสี่ยงจากการซื้อในราคาสูงเกินไปในระยะยาว นับว่าเป็นการลงทุนแบบหนึ่งที่สามารถทำให้เงินงอกเงยได้และเสี่ยงน้อยกว่าการซื้อหุ้นหากยังมีความรู้ไม่เพียงพอ

2.ทำช่อง YouTube
หลายคนคิดว่าการทำ YouTube ไม่มีต้นทุน แต่ที่จริงแล้วจะต้องซื้ออุปกรณ์หลายอย่าง เช่น Notebook ไมโครโฟนตัดเสียง โปรแกรมตัดต่อคลิป ฯลฯ บางคนก็ต้องจ้างผู้เชี่ยวชาญตัดต่อสายซาวด์เอฟเฟกต์ต่าง ๆ หากคุณไม่มีทักษะและเวลาทำคลิปด้วยตัวเอง อย่างไรก็ตาม การลงทุนทำช่องยูทูบด้วยความตั้งใจ ก็มีแนวโน้มเห็นผลลัพธ์ที่ดีตามมาได้ เพราะ YouTube เป็นแพลตฟอร์มที่คนนิยมเข้าไปดูคลิปหาความรู้ ฟังเรื่องเล่าเชิงประวัติศาสตร์ ดูคลิปวิดีโอน่ารักของเด็กและสัตว์เลี้ยง ฯลฯ

3.ทำขนมเบเกอรี่
แม้จะมีเงินทุนน้อย แต่คุณก็สามารถเริ่มกิจการเบเกอรี่และขนมหวานได้ โดยมีแค่หม้อหุงข้าว เตาอบไมโครเวฟ หม้ออบลมร้อน ฯลฯ และศึกษาจากคลิปสอนฟรีที่กูรูมากมายแบ่งปันความรู้ลงช่อง YouTube แล้วก็ปรับสูตรเป็นของตัวเองในไม่ช้าก็สามารถสร้างรายได้ด้วยการขายในกลุ่ม Facebook หรือกลุ่มไลน์ได้วันละหลายร้อยบาท

4.การซื้อหุ้น
หากคุณต้องการการลงทุนที่เสี่ยงต่ำ ก็ควรซื้อหุ้นกลุ่มที่คาดการณ์ว่าในอนาคต 10-20 ปีจะเป็นที่ต้องการของท้องตลาด เช่น ธุรกิจการดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุ หุ้นกลุ่มพลังงานทดแทน และหุ้นเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสารและอินเทอร์เน็ต เป็นต้น และควรศึกษาผลประกอบการย้อนหลัง 5 ปีขึ้นไป ร่วมกับดูวิสัยทัศน์ของแต่ละบริษัทเพื่อเลือกซื้อหุ้นที่ดีที่สุดด้วย

การลงทุนใด ๆ ก็ตาม เรามุ่งหวังที่จะให้เงินที่มีอยู่ในงอกเงยได้ แต่ก็ต้องอยู่บนความไม่ประมาท และประเมินว่าตัวเองมีความถนัดด้านใด หรืออยากศึกษาอย่างรู้จริงในสิ่งไหน ก็ทำการพัฒนาตัวเองในด้านนั้น เพื่อให้โอกาสสูญเสียเงินน้อยลง ทั้งยังสามารถสร้างรายได้ต่อยอดขึ้นไปได้มากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย

อาหารชนิดใดอุ่นในไมโครเวฟไม่ปลอดภัย

อาหารชนิดใดอุ่นในไมโครเวฟไม่ปลอดภัย

ไมโครเวฟเป็นเครื่องมืออุ่นอาหารให้ร้อนหรือปรุงสุกแบบเร่งด่วนช่วยอำนวยความสะดวกทำให้ชีวิตประจำวันง่ายขึ้นมาก แต่โดยมากมีหลายคนใช้ไมโครเวฟอย่างไม่ถูกต้อง ในกรณีที่การกระจายความร้อนไม่ทั่วถึง เช่น การปรุงไก่ดิบแช่แข็ง ความร้อนเข้าไม่ถึงด้านในจึงสุกไม่ทั่วทั้งชิ้นทำให้แบคทีเรียบางส่วนยังคงอยู่ นอกจากนี้อาหารหลายชนิดใช้ไมโครเวฟอุ่นซ้ำแล้วแห้งไม่น่ารับประทานหรือเป็นพิษร้ายแรง เสี่ยงเกิดระเบิดหรือผลิตสารพิษที่ก่อมะเร็งได้ มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง

  • ไข่ต้มสุก หากอุ่นไข่ต้มสุกในไมโครเวฟไม่ว่าจะอุ่นทั้งเปลือกหรือปอกเปลือกแล้ว ความชื้นภายในทำให้เกิดไอน้ำเป็นแรงดันทำให้ไข่ระเบิดในไมโครเวฟ หรือหลังจากหยิบออกมาแล้วระเบิดในมือเป็นอันตรายได้ ควรหลีกเลี่ยงหรือถ้าจำเป็นต้องทำ ขอแนะนำให้หั่นไข่เป็นชิ้นเล็ก ๆ ก่อนเข้าอุ่นในไมโครเวฟ
  • เนื้อไก่ เนื่องจากไมโครเวฟส่งความร้อนจากภายนอกสู่ภายใน ปรุงเนื้อไก่ดิบให้สุกทั่วชิ้นได้ยาก เนื้อไก่เสี่ยงต่อการปนเปื้อนแบคทีเรียใช้ไมโครเวฟทำให้สุกอาจไม่ปลอดภัย แนะนำให้ปรุงสุกด้วยวิธีอื่น
  • เนื้อสัตว์แปรรูป เนื้อสัตว์แปรรูปมีส่วนประกอบของสารเคมีและสารกันบูดช่วยยืดอายุการเก็บรักษา คลื่นความร้อนจากการอุ่นด้วยไมโครเวฟทำให้สารเคมีเหล่านั้นเกิดการออกซิเดชันทำให้ผู้รับประทานมีความเสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ หรือโรคอาหารเป็นพิษ
  • ข้าว เมื่ออุ่นข้าวสุกในไมโครเวฟ ความร้อนฆ่าแบคทีเรียที่เรียกว่าบาซิลลัส ซีเรียสได้ แต่ถ้าอุ่นร้อนแล้วไม่รับประทานทันที ปล่อยทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้อง ผลคือสปอร์แบคทีเรียในข้าวจะขยายพันธุ์ทำให้เกิดอาหารเป็นพิษ มีอาการท้องร่วง หรือคลื่นไส้อาเจียน ควรเก็บข้าวสุกไว้ในตู้เย็นตลอดเวลาก่อนนำมาอุ่นรับประทาน
  • ผักใบเขียว อุ่นผักใบเขียวในเตาอบแบบธรรมดาแทนการใช้ไมโครเวฟ เพราะผักประเภทที่มีไนเตรตสูง เช่น ผักโขม, ขึ้นฉ่าย, คะน้า, ปวยเล้ง, กวางตุ้ง, ผักบุ้ง หากถูกความร้อนของไมโครเวฟแล้ว จะเปลี่ยนเป็นไนโตรซามีนซึ่งสามารถก่อมะเร็งได้
  • มันฝรั่ง มันฝรั่งที่ปรุงสุกแล้ว ถ้าทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้องนานเกินไปอาจทำให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษโบทูลิซึมจากเชื้อแบคทีเรียที่ยังคงเติบโตในมันฝรั่งได้ ซึ่งการอุ่นในไมโครเวฟช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียไม่ได้ ควรปรุงสุกด้วยวิธีการอื่นหรือใช้เตาอบแทน
  • ปลา การอุ่นซ้ำเมนูปลาหรืออาหารทะเลที่เหลือในไมโครเวฟทำให้เนื้อปลาแห้งและรสชาติเปลี่ยนไป ทำให้ปลาแซลมอนเกิดกลิ่นฉุนมากขึ้น แนะนำให้อุ่นด้วยการนึ่งดีกว่า

คิดให้ดีก่อนใช้ไมโครเวฟอุ่นอาหารแต่ละประเภท อาหารบางเมนูผสมพริกไทยปริมาณมาก การอุ่นในไมไครเวฟทำให้ความแสบร้อนของพริกไทยกระจายไปทั่ว เมื่อเปิดฝาเตาออกมาแล้วทุกคนในห้องแสบร้อนทั้งตาและจมูก แม้จะไม่เป็นอันตราย ไม่เป็นพิษ แต่รู้สึกทรมานไม่น้อย ควรหลีกเลี่ยงเพื่อลดความเสี่ยงเหล่านี้

แอปพลิเคชันที่ช่วยน้อง ๆ เรื่องการเรียน

แอปพลิเคชันที่ช่วยน้อง ๆ เรื่องการเรียน

น้อง ๆ รู้มั้ยคะว่าโทรศัพท์หนึ่งเครื่องสามารถช่วยเรื่องการเรียนของเราได้ ลองเช็กดูนะว่าตอนนี้โทรศัพท์ของเรามีแอปพลิเคชันอะไรอยู่ในเครื่องบ้าง ส่วนใหญ่ก็จะมีพวกเกม โซเชียล อะไรอย่างนี้กันใช่ไหมล่ะ ลองมาโหลดแอปเหล่านี้ติดเครื่องไว้ดูแล้วการเรียนของเราจะง่ายขึ้นทันที แค่โทรศัพท์หนึ่งเครื่องก็ช่วยเรื่องการเรียนของเราได้อย่างครบวงจร พี่คอนเฟิร์มค่ะ

แอปพลิเคชันที่จะช่วยเรื่องการเรียนของน้อง ๆ มาดูกันเลยค่ะว่ามี App อะไรกันบ้าง

1.Canva
แอปพลิเคชันออกแบบกราฟฟิก ตกแต่งโปสเตอร์ ใบงาน การ์ดสวย ๆ และยังตัดต่อคลิปวิดีโอได้ด้วย ภายในแอปมีลูกเล่นมากมาย ใช้งานง่าย สามารถช่วยน้อง ๆ ในการออกแบบตกแต่งใบงานส่งครู ส่งอาจารย์ได้ รับรองว่าใบงานของเราจะสวยโดดเด่นไม่แพ้ใคร คว้าคะแนนมาเต็ม ๆ แน่นอน ตั้งแต่พี่รู้จักแอปตัวนี้มา ชีวิตการเรียนของพี่ก็แสนง่ายดาย ออกแบบได้อย่างเพลิดเพลินไม่ว่าจะเจองานไหนก็รอด ลองไปโหลดมาใช้กันดูนะคะ

2.My Study Life
แอปพลิเคชันที่ช่วยจัดระเบียบชีวิตของเรา เป็นแอปที่ช่วยน้องนักเรียน จัดระเบียบชั้นเรียน การบ้าน และการสอบได้ สามารถจดชิ้นงานว่าต้องทำอะไรบ้าง ส่งวันไหน จดตารางสอบ ตารางอ่านหนังสือ เหมาะสำหรับน้อง ๆ ที่ชอบลืม แอปตัวนี้จะช่วยให้น้อง ๆ ส่งงานได้ทันเวลาที่กำหนด มีแอปตัวนี้อยู่ในมือถือน้อง ๆ นักเรียน นักศึกษา จะไม่พลาดเรื่องวันส่งงานแน่นอน

3.Forest- โฟกัส
แอปพลิเคชันที่จะช่วยให้น้องนักเรียนมีสมาธิในการทำงาน หรืออ่านหนังสือมากขึ้น พี่เชื่อว่าน้อง ๆ หลายคนต้องเคยเป็น ตั้งใจจะอ่านหนังสือเตรียมสอบแต่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว อ่านได้สองบรรทัดก็เผลอไปหยิบโทรศัพท์มาเล่นเป็นชั่วโมง สุดท้ายก็ไม่ได้อ่าน เป็นอย่างนี้ไม่ดีแน่ค่ะ ต้องหาตัวช่วยเพื่อให้เราโฟกัสกับงานชิ้นนั้นมากขึ้น แอป Forest – โฟกัส ช่วยได้แน่นอน เพราะแอปนี้จะช่วยให้เราโฟกัสกับงานมากขึ้น โดยรูปแบบแอปจะเป็นการปลูกเมล็ดพันธุ์เมื่อเวลาผ่านไปก็จะเจริญเติบโตเป็นต้นไม้ หากเราปลูกต้นไม้ไว้และกดออกจากแอปไปเล่นแอปอื่นต้นไม้ของเราก็จะเหี่ยวเฉาจนตายไป เป็นการฝึกนิสัยของเราให้มีสมาธิและจดจ่ออยู่กับสิ่ง ๆ นั้นจนทำมันสำเร็จ ลองไปโหลดแอปนี้มาเล่นกันดูนะคะ พี่เชื่อว่าต้องเป็นประโยชน์กับการเรียนของเราแน่นอน

4.TCASter
แอปพลิเคชันที่จะช่วยน้อง ๆ เรื่องการเตรียมสอบเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย TCASter แอปที่รวบรวมข้อมูลของระบบ TCAS ไว้ทุกรอบ ช่วยเปรียบเทียบคะแนนของแต่ละมหาวิทยาลัย มีคะแนนสูงสุด-ต่ำสุดย้อนหลังให้ดู ทำให้เราสามารถตั้งเป้าหมายของเราไว้ว่าจะต้องทำให้ได้คะแนนเท่าไหร่ถึงจะเข้าคณะที่ต้องการได้

5.PhotoMath
แอปพลิเคชันที่จะช่วยน้อง ๆ แก้โจทย์เลข เพียงแค่ถ่ายรูปโจทย์แอปตัวนี้ก็จะแสดงผลเป็นวิธีทำของโจทย์อย่างละเอียด แต่พี่ไม่แนะนำให้น้องใช้แอปตัวนี้ทุกโอกาส อยากให้น้อง ๆ ลองทำโจทย์ด้วยตัวเองก่อน หากไม่ได้จริง ๆ ค่อยให้แอปตัวนี้ช่วย และถ้าหากให้การใช้งานแอปมีประโยชน์กับเรามากที่สุด ให้เราทำความเข้าใจวิธีทำที่แอปแสดงผลมาด้วย ถ้าหากเราใช้งานอย่างถูกวิธีก็จะเป็นผลประโยชน์แก่ตัวเรามากที่สุด

6.TED
แอปพลิเคชันที่จะช่วยน้อง ๆ ฝึกสกิลการพูดภาษาอังกฤษ เป็นแอปที่พูดถึงการให้กำลังใจเป็นเวอร์ชันภาษาอังกฤษ ทำให้เราได้ฝึกฟังและคุ้นชินกับภาษาอังกฤษ และสำเนียงของเจ้าของภาษา อีกทั้งยังได้คำศัพท์ใหม่ ๆ หากฟังไม่ทันหรือไม่เข้าใจ ในแอปก็มีสคริปต์ให้ดูด้วย สามารถดูแล้วฟังตามไปได้เลย หากน้อง ๆ คนไหนอยากเพิ่มทักษะภาษาอังกฤษของเรา พี่ขอแนะนำแอปตัวนี้เลย

7.Snapask
แอปพลิเคชันติวเตอร์เคลื่อนที่ แอปตัวนี้พี่อยากแนะนำให้กับน้อง ๆ มาก เพราะเป็นแอปที่รวบรวมติวเตอร์จากพี่ ๆ มหาวิทยาลัยที่อาสามาเป็นติวเตอร์ช่วยน้อง ๆ ติวหนังสือ ติวข้อสอบ หรือสอนการบ้าน ภายในแอปยังมีศูนย์รวมชิ้นงานหรือโจทย์การบ้าน แบบฝึกหัดมาให้ฝึกทำแบบฟรี ๆ สามารถเข้ามาทำได้ตลอดเวลา และฟรีอีกด้วย

ทั้งหมดนี้คือแอปที่พี่อยากแนะนำให้น้อง ๆ รู้จัก ลองไปโหลดมาใช้กันดูนะคะพี่รับรองว่าการเรียนของน้อง ๆ จะดีขึ้นแน่นอน

6 ประโยชน์จากการฟังดนตรี ช่วยเสริมศักยภาพให้ชีวิต

6 ประโยชน์จากการฟังดนตรี ช่วยเสริมศักยภาพให้ชีวิต

การฟังดนตรี คือหนึ่งในกิจกรรมยามว่างที่นอกจากจะให้ความสนุกและความบันเทิงแล้ว ยังช่วยเสริมสร้างศักยภาพให้กับผู้ฟังได้อีกด้วย ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ก็สามารถรับประโยชน์จากกิจกรรมนี้ได้อย่างเต็มที่ โดยมี 6 ประโยชน์จากดนตรีที่คุณจะได้รับในชีวิตจริง คือ

1.เสริมศักยภาพสมอง
ดนตรีช่วยเสริมศักยภาพด้านสมองอย่างชัดเจน ถึงขั้นมีผลการวิจัยจากนักวิทยาศาสตร์ที่ทำให้เห็นว่าเสียงดนตรีและโน้ตเพลง ไม่ว่าจะเป็นเพลงบรรเลงหรือเพลงที่มีเสียงร้องจะช่วยทำให้สมองเกิดความผ่อนคลายและช่วยกระตุ้นให้เกิดการหลั่งสารที่ดีต่อสมอง จึงทำให้สมองทำงานอย่างมีศักยภาพมากยิ่งขึ้น

2.พัฒนาทักษะหลายด้าน
ดนตรีไม่ได้เสริมศักยภาพด้านสมองเพียงอย่างเดียว แต่ยังพัฒนาทักษะด้านการฟังและการแยกแยะประสาท เพราะการ ฟังดนตรี สมองจะจำแนกเสียงดนตรีออกเอง จึงทำให้ผู้ที่รับสารสามารถรู้ได้ว่าภายในเพลงนั้นมีเครื่องดนตรีประเภทใดอยู่บ้าง

3.ความเก่งด้านภาษา
สำหรับเด็กในวัยที่กำลังเจริญเติบโต ถ้าได้ฟังเพลงที่ไม่ว่าจะเป็นเพลงภาษาอังกฤษ, ภาษาจีน, ภาษาญี่ปุ่น หรือภาษาไทย จะช่วยทำให้เด็กสามารถพูดคำต่าง ๆ ออกมาได้อย่างชัดเจน จึงเป็นหนึ่งในตัวช่วยเพิ่มความเก่งด้านภาษาที่ดีเยี่ยม

4.ความเคลื่อนไหวคล่องตัว
เมื่อเพลงช่วยทำให้พัฒนาสมองได้แล้ว ยังทำให้การเคลื่อนไหวมีความคล่องตัว โดยเฉพาะเพลงเต้นที่มีทำนองสนุกสนาน จึงทำให้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่รู้สึกอยากเต้น ถ้ามีการฝึกฝนการเต้นอย่างต่อเนื่อง ย่อมทำให้การเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างคล่องตัว ทำให้ทั้งเพลงและผู้ฟังสามารถผสมผสานกันได้อย่างไหลลื่นและเป็นหนึ่งเดียวกัน

5.เพิ่มความสุขทางอารมณ์
แน่นอนว่าเพลงนั้นจะเพิ่มความสุขให้กับทางอารมณ์ของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นเพลงที่แสดงออกถึงความสุข ความเสียใจ หรือความฮึกเหิม รวมไปถึงความสนุกสนาน เมื่อฟังแล้วจะทำให้ผู้ที่ได้รับสารรู้สึกในแบบนั้น ๆ ตามไปด้วย

6.ทักษะด้านสังคม
อีกหนึ่งประโยชน์ของเพลงคือ ช่วยเสริมทักษะการเข้าสังคมที่ดีมากยิ่งขึ้น ทั้งยังทำให้เกิดการวางตัวที่ดี เพราะเพลงนั้นจะสามารถเสริมสร้างทักษะทางด้านอารมณ์ ช่วยทำให้จิตใจมีความสงบและช่วยทำให้ผู้ที่ชื่นชอบการฟังดนตรีมีความเข้าใจผู้อื่นมากขึ้นอีกด้วย

ถ้าคุณต้องการให้การฟังดนตรีสามารถสร้างประโยชน์ได้เป็นอย่างดี คุณควรเลือกเพลงที่ช่วยเสริมสร้างอารมณ์ ความคิด และการตัดสินใจที่ดีเยี่ยม เป็นเพลงในทำนองฟังสบายและมีตัวโน๊ตดนตรีที่แตกต่างกัน ถ้าเลือกเป็นแนวเพลงบรรเลงก็จะยิ่งช่วยทำให้เพิ่มประโยชน์ได้มากกว่าดนตรีทั่วไป แต่ถ้าคุณชื่นชอบการฟังเพลงไทย, เพลงสากล หรือเพลงใด ๆ ก็ตาม ควรเลือกเพลงที่สร้างความสุข ความสบายใจ และทำให้รู้สึกผ่อนคลายมากที่สุด

ปาร์กเกอร์รับ ไม่สามารถเอาชัวร์กับอนาคตของ ดันจูม่า ได้แน่นอน

ปาร์กเกอร์รับ ไม่สามารถเอาชัวร์กับอนาคตของ ดันจูม่า ได้แน่นอน

เอาชัวร์ยังไม่ได้ ! สก็อตต์ ปาร์กเกอร์ หัวหน้าโค้ชของทีม บอร์นมัธ ได้ยอมรับว่าเขาไม่แน่ใจว่าตัวของ อาร์เนาท์ ดันจูม่า นักเตะเลือดดัตช์ของทีมจะยังคงอยู่กับทีมต่อไปในฤดูกาลหน้าหรือไม่ ดาวเตะชาวดัตช์ เป็นนักเตะที่กำลังมีข่าวบอลพัวพันมากมายเกี่ยวกับการพิจารณาอนาคตของเขา ว่าจะย้ายออกจากทีมบอร์นมัธในช่วงซัมเมอร์นี้หรือไม่ โดยที่มี บียาร์เรอัล เป็นทีมที่ให้ความสนใจในตัวของเขามากที่สุดในการจะแย่งลายเซ็นของเขา

และตัวของ ปาร์กเกอร์ ก็ได้ยืนยันว่าอดีตดาวดังของทีม PSV กำลังคิดถึงเรื่องการตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคตของตัวเองอยู่ ซึ่งเขาเพิ่งจะปฏิเสธการต่อสัญญากับสโมสรไปหมาดๆ เมื่อถูกถามว่าปีกซ้ายรายนี้จะเลือกอยู่กับทีมต่อไปเพื่อเริ่มต้นการแข่งขันในระดับ เดอะ แชมเปี้ยนชิพ หรือไม่ ทางด้านของ ปาร์กเกอร์ ก็ได้ตอบตามความรู้สึกของตัวเองกับทาง บอร์นมัธ เอคโค่ ไปว่า “มันก็ไม่แน่นะครับ เขาอาจจะย้ายทีมก็ได้ พูดตรงๆ เลยนะ ผมเอาชัวร์กับเขายังไม่ได้เลยจริงๆ”

“ชัดเจนว่าเราจะรอคอยให้เขาตัดสินใจ มันก็อยู่ในช่วงกรอบเวลานี้แหละครับ ว่าเขาจะเอายังไงกับตัวเอง แต่ผมคิดว่าไม่น่าจะมีอะไรผิดพลาดหรอกครับ”

“สโมสรได้ปฏิเสธการขายตัวของ อาร์นี่ (อาร์เนาท์) ไปแล้วก็จริง แต่ว่าในตอนนี้เขาเองก็ไม่ได้พิจารณาขยายสัญญากับเขาด้วยเช่นกัน”

“ผมหวังอยู่เช่นกันว่าเขาจะอยู่ช่วยทีมต่อไป แต่ถ้าหากว่าเขาจะย้ายทีม มันก็เป็นสิ่งที่ช่วยไม่ได้ เพราะมันคือช่วงเวลาสำคัญสำหรับเขาเช่นกัน”

ยืดกล้ามเนื้อ ก่อนและหลังการออกกำลังกาย ลดเสี่ยงบาดเจ็บ

ยืดกล้ามเนื้อ ก่อนและหลังการออกกำลังกาย ลดเสี่ยงบาดเจ็บ

เคยมีอาการแบบนี้หรือเปล่า หลังจากที่เล่นกีฬา ออกกำลังกาย จะมีอาการปวด ตึง เมื่อย กล้ามเนื้อ หรือในบางครั้งก็มีอาการเจ็บที่บริเวณส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ถ้ามีอาการแบนี้แล้วล่ะก็ ต้องบอกเลยว่าคุณอาจกำลังเผชิญกับปัญหากล้ามเนื้ออักเสบ กล้ามเนื้อมีความตึงตัวมากกว่าปกติอยู่ ในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้สามารถที่จะทำได้หลากหลายวิธี แต่วิธีที่ดีที่สุดก็คือการป้องกันตนเองก่อนที่จะเกิดอาการ ซึ่งสามารถทำได้ไม่ยาก โดยวิธีการนั้นก็คือ ให้ยืดเหยียดกล้ามเนื้อในช่วงก่อนและหลังการออกกำลังกายนั่นเอง

เมื่อพูดถึงการยืดกล้ามเนื้อ เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงมีความคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ซึ่งหลาย ๆ คนก็เกิดความสงสัยว่าทุก ๆ ครั้งที่มีการออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาชนิดต่าง ๆ นั้นก็มีการยืดกล้ามเนื้ออยู่เป็นประจำ แต่ทำไมยังมีอาการบาดเจ็บอยู่ สาเหตุหนึ่งก็อาจเกิดจากท่าทางในการเล่นกีฬาที่ผิดท่า ผิดจังหวะ ออกแรงมากเกินไป จนทำให้กล้ามเนื้อได้รับบาดเจ็บได้ ส่วนอีกสาเหตุหนึ่งก็คือกล้ามเนื้อยังมีความยืดหยุ่นหรือมีความยาวของกล้ามเนื้อไม่มากพอที่จะรองรับการออกแรงยืดเหยียดในท่าทางการเล่นกีฬาต่าง ๆ ซึ่งจริง ๆ แล้วเราควรที่จะตรวจสอบดูว่าการยืดกล้ามเนื้อของเรานั้นมีความถูกต้องหรือไม่

การยืดกล้ามเนื้อที่ถูกต้องนั้น ผลลัพธ์ที่ได้คือกล้ามเนื้อจะมีความตึงตัวลดลง มีความยาวของกล้ามเนื้อเพิ่มมากขึ้น วิธีการก็คือ ทำท่ายืดกล้ามเนื้อแต่ละท่า โดยระหว่างการยืดกล้ามเนื้อส่วนใด กล้ามเนื้อส่วนนั้นจะต้องมีการผ่อนคลาย ไม่ได้ออกแรงช่วยในการยืด เพราะถ้ามีการทำงานของกล้ามเนื้ออยู่ กล้ามเนื้อจะมีการหดตัว เกร็งตัวไม่ได้ยืดยาวออกอย่างที่เราต้องการ ประสิทธิภาพในการยืดก็จะลดน้อยลงด้วย ในระหว่างการยืดกล้ามเนื้อนั้น ให้เราหายใจเข้าออกตามปกติ ไม่ต้องกลั้นหายใจ

ในแต่ละท่าทางการยืดนั้นให้ยืดค้างไว้ประมาณ 15-20 วินาที แล้วจึงผ่อนออกกลับสู่ในท่าปกติ ทำซ้ำจำนวน 3-5 ครั้ง หรือจนกว่าที่กล้ามเนื้อบริเวณนั้น ๆ จะมีความตึงตัวลดลง โดยเราสามารถทดสอบได้จากการที่เมื่อลองทำท่าทางยืดกล้ามเนื้อแล้วพบว่าความตึงลดลง ไม่ได้มีความตึงเท่ากับครั้งแรก ๆ ที่ยืดเหยียดกล้ามเนื้อ นอกจากนี้แล้วเราควรยืดกล้ามเนื้อให้ครอบคลุม ยกตัวอย่างเช่น จะออกกำลังกายด้วยการวิ่ง ก็ควรเน้นยืดกล้ามเนื้อส่วนล่าง เช่น กล้ามเนื้อสะโพก กล้ามเนื้อน่อง กล้ามเนื้อต้นขา กล้ามเนื้อบริเวณข้อเท้า เป็นต้น

สำหรับใครที่มีกิจกรรมออกกำลังกายอยู่เป็นประจำ การนำวิธียืดกล้ามเนื้อที่ถูกต้องไปใช้ สามารถช่วยให้ออกกำลังกายได้ดีขึ้น และกล้ามเนื้อมีความเสี่ยงน้อยลงต่อการบาดเจ็บ