การวางแผนการลงทุนในปี2024

การวางแผนการลงทุนในปี2024

การจะลงทุนขายของในปี 2024 นั้น มีหลายสิ่งที่ควรพิจารณาเพื่อเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ ดังนี้

1. ศึกษาเทรนด์ธุรกิจ:

  • วิเคราะห์เทรนด์ธุรกิจที่กำลังมาแรงในปี 2024 เช่น ธุรกิจสินค้ารักษ์โลก ธุรกิจเกี่ยวกับผู้สูงอายุ ธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง
  • จับตาดูเทรนด์เทคโนโลยี เช่น ปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์ (Generative AI) ที่จะเข้ามามีบทบาทในทุกจุดของธุรกิจ
  • เลือกสินค้าหรือบริการที่ตรงกับความต้องการของตลาด

2. วางแผนธุรกิจ:

  • กำหนดกลุ่มเป้าหมาย
  • วิเคราะห์คู่แข่ง
  • วางกลยุทธ์ทางการตลาด
  • คำนวณต้นทุนและผลกำไร
  • เตรียมแผนสำรองสำหรับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด

3. เลือกช่องทางการขาย:

  • ขายออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์ม E-commerce เช่น Shopee, Lazada, Facebook Marketplace
  • ขายหน้าร้าน
  • ขายผ่านตัวแทนจำหน่าย

4. เน้นการตลาดออนไลน์:

  • สร้างเว็บไซต์
  • ทำ SEO
  • ทำโฆษณาออนไลน์
  • ใช้โซเชียลมีเดีย

5. ให้ความสำคัญกับบริการลูกค้า:

  • นำเสนอบริการที่ประทับใจ
  • ตอบคำถามลูกค้าอย่างรวดเร็ว
  • จัดการกับปัญหาลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ

6. พัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่อง:

  • เรียนรู้เทคนิคใหม่ ๆ
  • ติดตามเทรนด์ของตลาด
  • พัฒนาสินค้าและบริการให้ดียิ่งขึ้น

ตัวอย่างธุรกิจที่น่าสนใจในปี 2024:

  • สินค้ารักษ์โลก: สินค้าที่ผลิตจากวัสดุรีไซเคิล สินค้าที่ย่อยสลายได้ง่าย สินค้าที่ช่วยลดมลพิษ
  • ธุรกิจเกี่ยวกับผู้สูงอายุ: สินค้าและบริการที่ช่วยให้ผู้สูงอายุใช้ชีวิตได้สะดวกและปลอดภัย
  • ธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง: สินค้าและบริการสำหรับสัตว์เลี้ยง
  • ธุรกิจออนไลน์: ขายสินค้าหรือบริการผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์
  • ธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยี AI: ธุรกิจที่ใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูล พัฒนาสินค้าและบริการ

ข้อควรระวัง:

  • ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนลงทุน
  • ระวังมิจฉาชีพ
  • เตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยง

การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจ

วิธีทำ SEO สำหรับมือใหม่

วิธีทำ SEO สำหรับมือใหม่

SEO หรือการเพิ่มประสิทธิภาพกลไกค้นหาเป็นกระบวนการปรับปรุงอันดับเว็บไซต์ของคุณในหน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา (SERP) ซึ่งหมายความว่าเมื่อมีผู้ค้นหาคำหลักที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหรือเว็บไซต์ของคุณ เว็บไซต์ของคุณมีแนวโน้มที่จะปรากฏใกล้ด้านบนสุดของผลลัพธ์

ขั้นตอนพื้นฐานในการทำ SEO สำหรับมือใหม่มีดังนี้

1. การวิจัยคำหลัก : เริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจว่ากลุ่มเป้าหมายของคุณกำลังค้นหาอะไร ใช้เครื่องมือวิจัยคำหลัก เช่น Google เครื่องมือวางแผนคำหลัก หรือ Ahrefs เพื่อค้นหาคำหลักและวลีที่เกี่ยวข้องที่ผู้คนใช้ค้นหาข้อมูลออนไลน์ เมื่อคุณมีรายการคำหลักแล้ว ให้จัดลำดับความสำคัญตามปริมาณการค้นหาและการแข่งขัน สิ่งสำคัญคือต้องกำหนดเป้าหมายทั้งคำหลักที่มีปริมาณสูง การแข่งขันต่ำ และคำหลักที่มีปริมาณต่ำและมีจุดประสงค์สูง

2. การเพิ่มประสิทธิภาพในหน้า : เมื่อคุณมีคำหลักแล้ว คุณจะต้องเพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหาเว็บไซต์ของคุณให้เหมาะสม ซึ่งรวมถึงการเพิ่มคำหลักของคุณลงในแท็กชื่อ คำอธิบายเมต้า ส่วนหัว และทั่วทั้งเนื้อหา ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของคุณเหมาะกับมือถือและใช้งานง่าย ใช้รูปภาพและวิดีโอคุณภาพสูงเพื่อแยกข้อความของคุณและทำให้เนื้อหาของคุณน่าสนใจยิ่งขึ้น

3. เทคนิค SEO : ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเครื่องมือค้นหาของคุณสามารถรวบรวมข้อมูลเว็บไซต์ของคุณได้ ซึ่งหมายความว่าบอทเครื่องมือค้นหาสามารถเข้าถึงและจัดทำดัชนีเนื้อหาเว็บไซต์ของคุณได้อย่างง่ายดาย ใช้ผู้ให้บริการเว็บโฮสติ้งที่รวดเร็วและเชื่อถือได้ แก้ไขลิงก์เสียหรือข้อผิดพลาดบนเว็บไซต์ของคุณ

4. การสร้างลิงก์ : ลิงก์ย้อนกลับเป็นหนึ่งในปัจจัยการจัดอันดับที่สำคัญที่สุดในการทำ SEO รับเว็บไซต์อื่นเพื่อเชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์ของคุณ ซึ่งสามารถทำได้ผ่านการเขียนบล็อกของผู้เยี่ยมชม การโปรโมตโซเชียลมีเดีย และกลยุทธ์การสร้างลิงก์อื่นๆ

5. SEO นอกเพจ : SEO นอกเพจคือกิจกรรมใดๆ ที่คุณทำเพื่อปรับปรุงอันดับเว็บไซต์ของคุณซึ่งไม่ได้อยู่บนเว็บไซต์ของคุณโดยตรง ซึ่งรวมถึงการตลาดผ่านโซเชียลมีเดีย การประชาสัมพันธ์ และการตลาดแบบใช้อินฟลูเอนเซอร์

เคล็ดลับเพิ่มเติมสำหรับผู้เริ่มต้น SEO มุ่งเน้นที่การสร้างเนื้อหาคุณภาพสูงที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการดึงดูดปริมาณการเข้าชมและลิงก์ย้อนกลับ จงอดทน SEO เป็นเกมระยะยาว ต้องใช้เวลาและความพยายามเพื่อดูผลลัพธ์ ติดตามข่าวสารล่าสุดเกี่ยวกับเทรนด์และอัลกอริธึม SEO ล่าสุด Google และเครื่องมือค้นหาอื่นๆ เปลี่ยนแปลงอัลกอริทึมอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องติดตามการเปลี่ยนแปลงล่าสุดอยู่เสมอ

SWOT Analysis คืออะไร ทำไมต้องนำมาใช้วิเคราะห์ธุรกิจ

SWOT Analysis คืออะไร ทำไมต้องนำมาใช้วิเคราะห์ธุรกิจ

หนึ่งในหลักการวิเคราะห์ทางธุรกิจที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ SWOT Analysis ที่มีข้อดีคือสามารถนำมาปรับใช้ได้กับธุรกิจทุกรูปแบบ นอกจากนั้นยังเป็นเทคนิคที่ไม่ยากเกินไป สามารถทำได้ตั้งแต่ธุรกิจขนาดย่อยจนถึงผู้ประกอบการรายใหญ่ โดยเทคนิคนี้ได้รับการยอมรับจากมหาวิทยาลัยระดับโลกอย่างมหาวิทยาลัย Harvard ในสหรัฐอเมริกา ดังนั้นจึงนับว่าเป็นสิ่งที่น่าสนใจและควรนำมาประยุกต์ใช้ในการทำการตลาด ซึ่งวันนี้จะพาผู้ประกอบการทุกท่านไปเรียนรู้เรื่อง SWOT Analysis ไปด้วยกัน

  1. S = Strengths (จุดแข็ง)

ปัจจัยแรกที่จะถูกนำมาวิเคราะห์คือจุดแข็งของธุรกิจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ธุรกิจมีข้อได้เปรียบทางการแข็งขันเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่ง โดยอาจวิเคราะห์ได้ด้วยการตอบคำถามตัวอย่างเหล่านี้ บริษัทเรามีอะไรที่เหนือกว่าคู่แข่งบ้าง ลูกค้าชอบอะไรในกิจการของเรา สิ่งที่ดีที่สุดที่บริษัทนำออกไปสู่ตลาดคืออะไร หลังจากนั้นต้องพยายามพัฒนาจุดแข็งเหล่านี้ให้มั่นคงกว่าเดิม เพื่อให้สามารถดึงดูดใจลูกค้าให้มีความภัคดีกับแบรนด์

  1. W = Weaknesses (จุดอ่อน)

ส่วนที่ตรงข้ามกับจุดแข็งคือจุดอ่อน เป็นส่วนที่ธุรกิจของเรายังดำเนินการได้ไม่ค่อยดีเมื่อเทียบกับมาตรฐานที่ควรจะเป็น เป็นส่วนที่ควรได้รับการพัฒนาให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า โดยถ้าผู้ประกอบการเข้าใจในส่วนนี้จะทำให้สามารถยกระดับธุรกิจให้ก้าวหน้าขึ้นไปได้อีกหลายขั้น นอกจากนั้นยังต้องหาทางป้องกันไม่ให้เกิดจุดอ่อนอื่น ๆ เพิ่มตามมาอีกด้วย สิ่งนี้จะช่วยทำให้ผู้บริโภคเกิดความประทับใจในสิ่งที่แบรนด์นำเสนอมากขึ้น ทำให้สร้างแบรนด์ได้อย่างแข็งแกร่ง

  1. O = Opportunities (โอกาส)

เป็นการพิจารณาปัจจัยที่สามารถนำมาใช้กับการต่อยอดเพิ่มโอกาสในตลาดใหม่ ๆ ให้กับธุรกิจ โดยดูว่าสินค้าและบริการที่ต้องการนำเสนอสามารถพัฒนาให้ดีขึ้นหรือทันสมัยได้ด้วยวิธีไหนบ้าง ดังนั้นผู้ประกอบการต้องหมั่นติดตามและเรียนรู้เทรนด์ใหม่ ๆ ที่กำลังได้รับความนิยม และนำจุดนั้นมาสร้างโอกาสให้ธุรกิจเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวิธีการในการเปิดตลาดใหม่ ๆ เพิ่มลูกค้ากลุ่มใหม่ทำให้ได้ผลกำไรมากขึ้น

  1. T = Threats (อุปสรรค)

ส่วนสุดท้ายคืออุปสรรคที่มาขัดขวางการประกอบธุรกิจจนทำให้ไม่สามารถเติบโตและทำกำไรได้มากเท่าที่ควร โดยมักเป็นปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถแก้ไขได้จากการทำธุรกิจของตนเอง เช่น สภาพเศรษฐกิจ คู่แข่งที่อัตราความสำเร็จสูง ซึ่งทั้งหมดนี้ควรถูกนำมาวิเคราะห์ว่าจะส่งผลต่อตัวธุรกิจอย่างไรบ้าง และทำยังไงไม่ให้เกิดความเสียหายจากปัจจัยเหล่านี้

ทั้ง 4 ประเด็นใน SWOT Analysis เป็นส่วนที่มีความเกี่ยวเนื่องกับการประสบความสำเร็จของธุรกิจโดยตรง ดังนั้นต้องให้ความสำคัญในการวิเคราะห์ปัจจัยเหล่านี้ให้รอบคอบ โดยผู้วิเคราะห์ต้องคิดให้ครอบคลุมเรื่องพื้นฐานทั้งหมด และต้องพยายามมองออกนอกกรอบ มีความคิดสร้างสรรค์และพยายามผลักดันไอเดียใหม่ ๆ ให้ก้าวหน้า เพื่อให้กิจการได้รับการพัฒนาจนบรรลุเป้าหมายที่วางไว้

ตรุษจีน อยากเฮงและปัง ต้องทำอย่างไรมาดูกัน

ตรุษจีน อยากเฮงและปัง ต้องทำอย่างไรมาดูกัน

เมื่อเทศกาลมงคลอย่างตรุษจีนมาถึงไม่ว่าจะเป็นคนไทย คนจีนหรือคนไทยเชื้อสายจีนก็ต่างให้ความสนใจอย่างมาก เชื่อว่าเป็นวันที่เต็มไปด้วยพลังแห่งความเฮง ไม่ว่าจะขออะไรหรือกำลังทำอะไรอยู่ เมื่อได้มาไหว้ขอพรจะสมหวัง เพราะเชื่อว่าเป็นวันที่เทพเจ้าทั้งหลายลงมาจากสวรรค์เพื่อมารับคำสักการะของมนุษย์ ฉะนั้นเมื่อถึงวันจะนิยมใส่เสื้อสีแดงและมีข้อห้ามมากมาย หากทำตามแล้วจะส่งผลดีต่อคนผู้นั้นและกิจการ มาดูกันว่ามีข้อห้ามและสิ่งที่ควรทำอะไรบ้าง

4 สิ่งที่ควรทำในวันตรุษจีน

1.กินเกี๊ยว นอกจากการไหว้บรรพบุรุษแล้วการรวมญาติเพื่อร่วมทาเกี๊ยวด้วยกันก่อนขึ้นปีใหม่ จะทำให้มั่งมีเงินทอง เพราะเกี๊ยวมีลักษณะเหมือนเงินของชาวจีนนั้นเอง

2.กินเจมื้อแรกของปีใหม่ในตอนเช้า เพราะเชื่อกันว่าจะได้บุญราวกับว่าได้กินเจมาตลอดทั้งปี

3.ทำไหว้เทพเจ้าไช่ซิงเอี้ย เพราะคือองค์เทพแห่งโชคลาภ นิยมทำพิธีหลังเที่ยงคืนของวันซาจั๊บหรือวันแรกของปีใหม่ ทำไปเรื่อย ๆ ก่อนถึงตี 1

4.ใส่เสื้อผ้าใหม่สีสันสดใส นิยมใส่เสื้อสีแดงเพราะเป็นสีที่มงคลมากที่สุด

สิ่งที่ไม่ควรทำในวันตรุษจีน

1.ห้ามร้องไห้ เป็นความเชื่อของคนจีนที่ว่าหากมีการร้องไห้ในวันนี้ จะทำให้เกิดเรื่องไม่ดีตลอดทั้งปี

2.ห้ามซักผ้า เป็นเรื่องของความเชื่อและมีตำนานเล่าขานว่าในวันตรุษจีนเป็นวันที่เทพเจาแห่งน้ำกำเนิดขึ้น หากซักผ้าถือเป็นการลบหลู่นั้นเอง หากรู้ว่าวันตรุษจีนจะมาถึงต้องรีบซักผ้าก่อนเลย

3.ห้ามทำของแตก เป็นอีกหนึ่งความเชื่อเช่นกันว่าหากทำของแตกในวันตรุษจีน จะนำเรื่องแตกแยกและการสุญเสียมาให้ 

4.ห้ามไม่ให้ใครยืมเงินและอย่าพูดว่าไม่มีเงิน เชื่อว่าถ้ายอมให้ใครมายืม ทั้งปีนี้ก็อาจจะถูกยืมไปตลอด แบบนี้หากใครคิดจะยืมเงินคนอื่นในวันนี้ มีโอกาสถูกปฏิเสธ 

5.ห้ามเข้าห้องนอนคนอื่นและไม่ให้เข้ามาเช่นกัน เชื่อว่าจะเป็นการนำความโชคร้ายมาสู่ตัวเรานั้นเอง

6.ห้ามทำความสะอาดบ้าน ในวันตรุษจีนห้ามทำความสะอาดบ้าน เพราเชื่อว่าจะเป็นการกวาดเอาโชคลาภและกวาดเอาเงินทองออกไปนั้นเอง 

เรียกได้ว่าเป็นทริกในการเตรียมตัวที่จะรับสิ่งดี ๆ เข้ามาในช่วงตรุษจีน ในบางความเชื่อหากมองตามหลักความเป็นจริงคือการเตือนให้มีสติ ทุกอย่างเมื่อทำด้วยสติมักเกิดผลัพธ์ที่ดีตามมาเสมอนั้นเอง

ด่วน! กินเผ็ดมีทั้งข้อดีและข้อเสีย เพื่อสุขภาพที่ดีต้องอ่าน

ด่วน! กินเผ็ดมีทั้งข้อดีและข้อเสีย เพื่อสุขภาพที่ดีต้องอ่าน

ใครที่ชอบทานเผ็ดเชื่อว่าเวลาไปสั่งอาหารไม่ว่าเมนูไหนก็มักจะบอกให้ทางร้านจัดเต็มเรื่องจำนวนพริก โดยเฉพาะการทานส้มตำมองว่ามันคือสีสันที่ขาดไม่ได้ อย่างไรก็ตามการทานในปริมาณมากเกินไปอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพ แต่ใช่ว่าจะไม่มีข้อดีเช่นกัน วันนี้เราจึงได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการทานเผ็ดมาให้ได้อ่านศึกษากัน

ข้อดีของการทานเผ็ด

  • การทานเผ็ดช่วยลดความเครียดได้ดีทีเดียว เป็นเรื่องจริงเพราะว่าร่างกายเมื่อได้สัมผัสรสเผ็ดเข้าไป จะตีความหมายทันทีว่าร่างกายกำลังเจ็บปวด จึงหลั่งสารเอ็นโดรฟินและโดพามีนคือสารแห่งความสุข เมื่อทานเผ็ดจึงทำให้ผ่อนคลาย แต่กระนั้นก็ไม่ควรทานเผ็ดเกินไป
  • รสเผ็ดจะเป็นตัวช่วยในการกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด สารแคปไซซินในรสเผ็ดจะเป็นตัวช่วยในเรื่องของการยับยั้งการหดตัวของเลือด ฉะนั้นเมื่อทานเผ็ดเข้าไปเกิดการขยายตัวของหลอดเลือด ทำให้เลือดไปหล่อเลี้ยงอวัยวะส่วนต่าง ๆ ได้ดีขึ้น รวมไปถึงการทำให้หัวใจแข็งแรง เพราะพริกจะไปละลายลิ่มเลือด

ข้อเสียของการทานเผ็ด

  • ส่งผลกระทบทำให้สุขภาพช่องมีปัญหา อาจแสบร้อนภายใน อาจรามไปถึงลิ้น เหงือก เพดานปากและบริเวณใกล้เคียงอื่น ๆ สังเกตจะพบว่าส่งผลทำให้การรับรสแย่ลงไปชั่วขณะ
  • ระบบทางเดินอาหารมีปัญหา แน่นอนว่าความเผ็ดที่มีสารแคปไซซินเป็นส่วนประกอบทำให้เกิดอาการปวดท้อง อาหารไม่ย่อย ท้องเสีย รวมไปถึงสาเหตุของการเป็นกรดไหลย้อน แน่นอนใครเป็นโรคนี้ต้องเลี่ยงอาหารสเผ็ดเลย
  • สาเหตุของการเกิดโรคกระเพาะ ซึ่งจะเกิดก็ต่อเมื่อการทานเผ็ดติดต่อกัน เยื่อบุในกระเพาะอาหารจึงเกิดการอักเสบ บวม แดงและเกิดอาการปวดท้องทันที หากมีอาการควรทานยาธาตุน้ำขาว เพื่อให้ทุเลาอาการ 

ปลอดภัยหากทานเผ็ดอย่างระวัง

แม้ว่าคนไทยจะคุ้นชินกับรสชาติการทานเผ็ด แต่ใช่ว่าจะทานแค่ไหนก็ได้ เพราะจากข้อมูลข้างบนจะเห็นว่ามีข้อเสียเช่นกัน แต่เพื่อความปลอดภัยควรทานในปริมาณที่เหมาะสมและคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ควรระมัดระวังอย่างยิ่ง เพราะรสเผ็ดจะทำให้แสบท้อง แสบยอดอกและอาจเกิดกรดไหลย้อนได้

เป็นอย่างไรบ้างใครที่ทานเผ็ดเป็นประจำ เชื่อว่าคงทำให้ระมัดระวังกันมากขึ้น เพราะผลเสียที่เรากล่าวไปส่งผลกระทบต่อสุขภาพไม่น้อย แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องร้ายแรง แต่การที่ไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ ฉะนั้นทานในปริมาณที่พอเหมาะ เพื่อคลายเครียดและทำให้การทานมีสีสันมากขึ้นก็เพียงพอแล้ว

ดูแลสุขภาพอย่างไรให้อายุยืนเหมือนคนญี่ปุ่น

ดูแลสุขภาพอย่างไรให้อายุยืนเหมือนคนญี่ปุ่น

ถ้าพูดถึงประเทศที่อายุยืนที่สุดในโลก “ญี่ปุ่น” คงเป็นประเทศแรกที่หลายคนนึกถึง เพราะค่าเฉลี่ยอายุของคนญี่ปุ่นยืนยาวสูงที่สุดในกลุ่มประเทศ G7 และผู้ที่อายุยืนที่สุดในโลกก็เป็นชาวญี่ปุ่นเช่นกัน นั่นคือ ทานากะ คาเนะ ก่อนที่จะเสียชีวิตในปี 2565 ที่ผ่านมา ด้วยเหตุนี้ผู้รักสุขภาพต่างก็อยากรู้ว่าคนญี่ปุ่นนั้นทำอย่างไรถึงอายุยืนยาว แถมดูอ่อนวัยอีกด้วย

การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องการบริโภคอาหารทะเลอยู่แล้ว สาเหตุเพราะภูมิประเทศเป็นเกาะ อาหารทะเลจึงหาได้ง่าย ประชาชนนิยมนำมาทำอาหารเป็นเรื่องปกติ ที่สำคัญอาหารทะเลมีไขมันน้อย จึงลดโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดไขมันอุดตันทางเส้นเลือด และให้สารอาหารสูง อย่าง Omega3 ที่ช่วยให้สุขภาพผิวดีขึ้น พัฒนาสมอง ผู้สูงอายุที่รับประทานอาหารทะเลเป็นประจำ จึงช่วยลดโอกาสที่โรคอัลไซเมอร์ และโรคซึมเศร้า แถมอาหารทะเลยังบำรุงสายตาได้ด้วย

นอกจากนี้อาหารที่ชาวญี่ปุ่นนิยมรับประทานช่วงเช้า ไม่ใช่แซนวิช หรือเบนโตะอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่เป็น “ถั่วเน่า” หรือนัตโตะ ซึ่งประโยชน์ของถั่วเน่ามีมากมาย อาทิ บำรุงกระดูกให้แข็งแรง ช่วย ย่อยอาหารได้ดีขึ้น และที่สำคัญมีงานวิจัยออกมายืนยันว่าชาวญี่ปุ่นมีสาเหตุการเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดต่ำมาก เป็นเพราะการบริโภคถั่วเน่าอย่างสม่ำเสมอ 

นิยมการเดินเท้า
ชาวญี่ปุ่นเดินเท้าเป็นประจำ เพราะการขนส่งสาธารณะออกแบบมาเป็นอย่างดี ผู้คนจึงสามารถเดินทางด้วยวิธีดังกล่าวออกจากบ้านไปขึ้นรถโดยสารสาธารณะ หรือรถไฟฟ้าใกล้บ้านได้  ซึ่งการเดินเท้ามีประโยชน์มากมาย อาทิ ร่างกายหลั่งสารเอนดอร์ฟินช่วยให้การนอนหลับดีขึ้น เสริมสร้างกล้ามเนื้อช่วงขา และช่วยเผาผลาญพลังงานส่วนเกินที่สะสมอยู่บริเวณช่วงท้อง ลดโอกาสเกิดโรคอ้วน โรคเบาหวาน และโรคอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งคนญี่ปุ่นเดินแต่ละวันไม่ต่ำกว่า 30 นาที ทำให้โรคเหล่านี้เกิดขึ้นได้น้อยมากสำหรับคนประเทศนี้

หลักคิดอิคิไก

นอกจากการเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรงด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และการเดินเท้าแล้ว การพัฒนาจิตใจก็สำคัญไม่แพ้กัน ซึ่งคนญี่ปุ่นมีหลักปรัชญาที่เรียกว่า “อิคิไก” อันหมายถึง เหตุผลที่จะมีชีวิตอยู่  ซึ่งหลักปรัชญาดังกล่าวเน้นให้ผู้คนใช้ชีวิตอย่างสมดุล ทำสิ่งที่ชอบด้วยความรักให้ดีที่สุด เราจึงมักเห็นคนญี่ปุ่นทำอะไรด้วยความมุ่งมั่นสูงมาก เช่น ทำงานอดิเรกเล็ก ๆ อย่างการสร้างตุ๊กตา คนญี่ปุ่นก็อาศัยความมุ่งมั่นพัฒนาให้เกิดความแปลกใหม่ขึ้นมา จนกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีลูกเล่นแปลกตา ชาวต่างชาติเห็นแล้วก็รู้สึกประทับใจไปตามกัน ซึ่งความมุ่งมั่นนี้เป็นเหมือนความหลงใหลให้คนญี่ปุ่นเวลาทำอะไรก็เต็มใจทำ ไม่รู้สึกฝืน ส่งผลให้สุขภาพจิตดีตามมา

จากทั้งหมดที่กล่าวมาเราสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันของเรา โดยเน้นการบริโภคอาหารที่มีประโยชน์ ครบ 5 หมู่ หากไม่มีเวลาออกกำลังกาย เพราะติดงาน อาจหันมาเดินมากขึ้นเพื่อออกกำลังกายไปในตัว ที่สำคัญควรใช้ชีวิตด้วยความสมดุล ทำสิ่งต่าง ๆ ด้วย Passion หรือความหลงใหล ก็ช่วยพัฒนาสุขภาพจิต จนส่งผลให้เราอายุยืน จากสุขภาพกายและใจดี

5 ปลาสวยงามที่นิยมเลี้ยงตามบ้าน ไม่แพง เลี้ยงก็ง่าย

5 ปลาสวยงามที่นิยมเลี้ยงตามบ้าน ไม่แพง เลี้ยงก็ง่าย

คนชอบเลี้ยงปลาสวยงามในบ้านเรามีอยู่จำนวนมาก ทั้งแบบไม่จริงจัง เลี้ยงเพื่อเป็นงานอดิเรก มีตู้ปลาไว้ประดับบ้าน หรือบางคนจริงจังขนาดส่งปลาเข้าประกวด เพาะพันธุ์เอง แต่ไม่ว่าจะเป็นคนเลี้ยงปลารูปแบบไหน จะต้องผ่านการเลี้ยงปลา 5 ชนิดนี้มาแล้วอย่างแน่นอน นั่นเพราะความนิยมและการเลี้ยงง่ายของใน 5 ชนิดปลาสวยงามนี้ จะมีปลาอะไรบ้างไปดูกัน

1. ปลากัด

ผู้ชายไทยแทบทุกคนในวัยเด็กจะต้องเคยเลี้ยงปลากัดในขวดที่ใส่ใบหูกวางเอาไว้ ทั้งนี้เพราะปลากัดเป็นปลาท้องถิ่นบ้านเรา สามารถมาจับได้ตามหนองคลองบึงแถวบ้าน เพาะพันธุ์ก็ง่าย อีกทั้งยังนิยมนำปลามากัดกันเพื่อความสนุกสนานประสาเด็ก มาทุกวันนี้ปลากัดกลายเป็นปลาที่ชาวต่างชาติให้ความนิยมอย่างมาก ราคาสูงขึ้นไปหลักร้อย หลักพัน หลักหมื่น กันเลยทีเดียว

2. ปลาหางนกยูง

ปลาประจำถิ่นอีกชนิด เลี้ยงง่ายมาก ๆ ราคาถูก หาจับเอาตามคลองก็ได้มีถมไป ถ้าบ้านไหนมีกระถางบัวต้องใส่ปลาหางนกยูงเอาไว้กินลูกน้ำ เพื่อป้องกันมิให้เพราะเป็นยุง ปล่อยไว้ 1-2 ตัว ไม่นานมันก็ออกลูกออกหลานเต็มบ่อ ปัจจุบันมีปลาหางนกยูงที่คัดเกรดความสวย สนนราคาพุ่งขึ้นไปหลักร้อย หลักพันก็มี

3. ปลาสอด

วิธีเลี้ยงจะคล้าย ๆ กับปลาหางนกยูง คือสามารถปล่อยทิ้งไว้ในบ่อ ปลาสอดก็จะออกลูกออกหลานเต็มบ่อไปหมดเช่นกัน ปลาสอดสีสันสวยงาม ราคาย่อมเยา เลี้ยงง่าย ตายยาก สามารถเลี้ยงได้ทั้งในบ่อและในตู้ปลา

4. ปลาทอง

เลี้ยงปลาทองจะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก เพราะต้องใช้ความใส่ใจดูแลมากสักหน่อย ปลาทองชอบอยู่ในน้ำสะอาด ดังนั้นการดูแลคุณภาพน้ำจึงเป็นเรื่องสำคัญ ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำบ่อย ต้องมีระบบกรองที่มีคุณภาพ และด้วยความสวยงามนี้เองปลาทองจึงเป็นปลายอดฮิตที่นักเลี้ยงปลาสวยงามทุกคนนิยมกัน โดยส่วนใหญ่จะนิยมเลี้ยงปลาทองในตู้กระจกเพราะจะสามารถชื่นชมความน่ารักและความสวยงามของเหล่าปลาทองได้อย่างชัดเจน

5. ปลาคาร์ป

ปลาคาร์ปจะนิยมเลี้ยงในบ่อ ไม่นิยมเลี้ยงในตู้กระจก เพราะความสวยงามของปลาคาร์ปอยู่ที่มุมที่มองจากด้านบน ถ้ามองปลาคาร์ปจากด้านข้างจะไม่สวยงามเท่าไรนัก ปลาคาร์ปจัดเป็นปลายอดนิยมอีกชนิดของคนไทย ระดับราคาก็มีหลากหลายตั้งแต่ตัวละ 50-100 ไปจนถึงตัวละเป็นแสน ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และความสวยงาม นอกจากนั้นในเรื่องการดูแลต้องใส่ใจเรื่องความสะอาด เพราะปลาคาร์ปชอบน้ำสะอาดการดูแลคุณภาพน้ำจึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับคนที่เลี้ยงปลาคาร์ป 

5 พิกัดโฆษณาธุรกิจได้ฟรี เรียกลูกค้าได้ดีแบบไม่มีค่าใช้จ่าย

5 พิกัดโฆษณาธุรกิจได้ฟรี เรียกลูกค้าได้ดีแบบไม่มีค่าใช้จ่าย

การทำการตลาดหลายครั้งจำเป็นต้องทุ่มงบประมาณก้อนใหญ่ในการโฆษณาให้ประสบความสำเร็จ แต่แบรนด์เล็ก ๆ ที่เพิ่งเริ่มต้นธุรกิจอาจจะยังไม่ได้มีต้นทุนมากมายที่จะใช้ในการยิงแอด แต่ถ้าจะไม่ทำการตลาดอะไรเลย กลัวจะไม่มียอดขายจนไม่สามารถขยายธุรกิจต่อไปได้อย่างที่ต้องการ แต่รู้ไหมว่ายังมีอีกหลายวิธีในการทำการตลาด ที่ไม่ต้องใช้งบประมาณเลยแม้แต่บาทเดียว ดังนั้นวันนี้เราจะพาทุกคนไปดูกันว่าพิกัดเหล่านั้นอยู่ที่ไหนบ้าง

  1. เพจและกลุ่มใน Facebook

เพจเป็นเหมือนการสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ในลูกค้าสามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าได้โดยตรง โดยต้องหมั่นสร้างโพสต์เพื่อดึงดูดความสนใจลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ และต้องคำนึงถึงคุณภาพของเนื้อหา รวมถึงต้องแนบรูปภาพที่สวยงามน่าสนใจด้วย

  1. กลุ่มใน Facebook

ส่วนกลุ่มใน Facebook เป็นเหมือนแหล่งรวมผู้คนที่สนใจเรื่องราวเดียวกันไว้ด้วยกัน ถ้าเราเข้าไปขายสินค้าในพื้นที่ที่รายล้อมไปด้วยกลุ่มเป้าหมาย จึงไม่น่าสงสัยเลยว่าจะเป็นอีกหนึ่งพิกัดทำกำไรของร้านค้า เพียงแค่ต้องเคารพมารยาทและข้อตกลงของกลุ่ม ทำการขายสินค้าอย่างซื่อสัตย์และมีมารยาท

  1. ไลฟ์สดบน Facebook Instagram และ TikTok

การไลฟ์สดเป็นช่องทางที่ทำให้ผู้ขายสามารถโต้ตอบและไขข้อข้องใจให้กับลูกค้าได้โดยตรง โดยสามารถพูด แสดง รีวิว สาธิตได้เหมือนเดินไปขายหน้าบ้านลูกค้า สิ่งนี้ทำให้ร้านค้าสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างว่องไว ถ้าเลือกไลฟ์ในเวลาที่คนใช้งานเยอะ ๆ จะยิ่งมีโอกาสปิดการขายได้มากขึ้น 

  1. Pinterest

Pinterest เป็นเว็บไซต์รูปภาพที่ได้รับความนิยมมาก และยังสามารถลิงก์ไปสู่ต้นทางของรูปภาพนั้น ๆ ได้อีกด้วย ดังนั้นหากเจ้าของแบรนด์มีการอัปโหลดรูปสินค้าหรือบริการที่น่าดึงดูดใจลงไปบนเว็บไซต์ จะทำให้สามารถเชื่อมโยงผู้คนมาที่เว็บไซต์ได้มากขึ้นนั่นเอง อย่าลืมเลือกรูปภาพที่ดีที่สุดและนำไปสร้างพินไว้ใน Pinterest ได้เลย

  1. การส่ง Email

อีเมล์เป็นสิ่งที่ผู้ใช้งานสื่อโซเชียลต้องมีอย่างแน่นอน เพราะสิ่งนี้ถูกใช้ในการลงทะเบียนแพลตฟอร์มต่าง ๆ อย่างแพร่หลาย ดังนั้นหากลูกค้าเคยเข้ามาซื้อสินค้า และเรามีอีเมล์ของพวกเขาเหล่านั้น ทางแบรนด์สามารถทำการตลาดได้ด้วยการส่งข้อเสนอหรือโปรโมชั่นที่น่าสนใจไปทางอีเมล์ สิ่งนี้จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการซื้อซ้ำได้เป็นอย่างดี

  1. การเขียน Blog

การเขียน Blog สามารถใช้ได้ในการแชร์เรื่องราวส่วนตัว รีวิว และโฆษณาสินค้าหรือบริการได้เป็นอย่างดี โดยควรมีการเขียนอย่างต่อเนื่องและใช้ประโยชน์จากการทำ SEO ได้อีกด้วย ซึ่งผู้เขียนสามารถสร้างสรรค์คอนเทนต์ใน blog ได้อย่างอิสระ จึงสามารถสะท้อนตัวตนของแบรนด์ออกมาได้เป็นอย่างดี

เมื่อมาถึงตรงนี้ทุกคนที่สนใจจะทำการตลาดออนไลน์ คงจะพอมองเห็นช่องทางที่หลากหลายมากขึ้นในการลงโฆษณาแบบฟรี ๆ ได้แล้ว เพียงแค่รู้จักปรับตัวและใช้ประโยชน์จากจุดเด่นของความสามารถของแต่ละโซเชียลมีเดียอย่างเต็มที่ จะทำให้ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจได้แน่นอน

5 เรื่องที่ต้องทำให้ได้ก่อนเกษียณ เพื่ออนาคตที่มั่นคงยามบั้นปลาย

5 เรื่องที่ต้องทำให้ได้ก่อนเกษียณ เพื่ออนาคตที่มั่นคงยามบั้นปลาย

คนส่วนใหญ่ใช้เวลาชีวิตวัยทำงานยาวนานกว่า 40 ปี แต่เมื่อถึงเวลาหยุดทำงาน ต้องเกษียณตัวเองมาอยู่บ้าน ชีวิตจะต้องเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือภายในเวลาสั้น ๆ สิ่งนี้อาจทำให้หลายคนไม่สามารถปรับตัวได้ทัน จนรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไม่ไหว สิ่งที่สามารถทำได้คือการเตรียมตัวให้พร้อมกับการใช้ชีวิตใหม่อย่างมีความสุขในวัยเกษียณ ด้วยการเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ ต่อไปนี้

  1. เตรียมร่างกายให้พร้อม

ในวันที่อายุมากขึ้น ร่างกายมีความเหนื่อยล้า และเสื่อมโทรมตามวัยที่มากขึ้น แต่การปล่อยตัวปล่อยใจ ไม่รู้จักดูแลตัวเอง อาจจะทำโรคภัยถามหาในอนาคตได้ ดังนั้นหากอยากมีสุขภาพร่างกายลิตใจที่ดีในวัยเกษียณ ต้องรู้จักสร้างนิสัยที่ดีในการดูแลตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ทานอาหารดี ๆ ลดหวาน ลดมันลงบ้าง นอกจากนั้นยังควรปรับการนอนให้เป็นเวลา จะได้เผชิญปัญหานอนไม่หลับในอนาคต

  1. เตรียมเงินไว้ใช้หลังเกษียณ

เมื่อหยุดทำงานและไม่มีรายได้เข้ามา แต่รายจ่ายในชีวิตประจำวันยังคงดำเนินต่อไปตามปกติ สำหรับข้าราชการที่มีสวัสดิการคงจะมั่นใจได้ว่าตนเองจะมีรายรับเข้ามาทุกเดือนตามสวัสดิการ แต่สำหรับพนักงานทั่วไปที่องค์กรไม่มีการสนับสนุนเรื่องกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ การวางแผนการเงินเพื่อออมไว้ใช้หลังเกษียณเป็นสิ่งที่สำคัญมาก โดยสามารถทำได้โดยการฝากเงินแบบประจำ ซื้อประกันออมทรัพย์ หรือลงทุนในสินทรัพย์ที่สามารถทำกำไรได้

  1. ทำประกันสุขภาพ

ยิ่งอายุมากขึ้น ยิ่งมีโอกาสในการเป็นโรคต่าง ๆ มากขึ้น เพราะหลายโรคมีอายุเป็นปัจจัยในการกระตุ้น เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง ดังนั้นการเตรียมตัวเรื่องประกันสุขภาพเอาไว้ล่วงหน้าจะส่งผลดีต่ออนาคตอย่างแน่นอน ยิ่งประกันในปัจจุบันมีสิทธิประโยชน์ที่หลากหลายขึ้น เช่น สามารถใช้สิทธิตรวจสุขภาพประจำปีได้ มีบริการตรวจสุขภาพฟัน ทำให้การลงทุนทำประกันดี ๆ ซักตัวเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าอย่างยิ่ง

  1. เตรียมหากิจกรรมเสริมหลังเกษียณ

คนเคยทำงาน เคยมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อร่วมงานทุกวันมาเป็นระยะเวลานาน คงเคยชินกับการมีกิจกรรมทำตลอดเวลา ทำให้ผู้ใหญ่ในวัยเกษียณรู้สึกซึมเศร้าเมื่อต้องออกมาอยู่บ้านโดยที่ไม่มีภาระอะไรให้รับผิดชอบ ดังนั้นการหากิจกรรมทำเพื่อผ่อนคลายความเครียดจุดนั้นนับเป็นเรื่องจำเป็น โดยควรเป็นกิจกรรมเบา ๆ ผ่อนคลาย และสร้างความสุข เช่น หาสัตว์เลี้ยง วางแผนไปเที่ยว

  1. เตรียมที่อยู่อาศัยให้เหมาะกับวัยที่มากขึ้น

พออายุมากขึ้นความคล่องแคล่วว่องไวจะลดลงเป็นธรรมดา ดังนั้นต้องยอมรับความจริงข้อนี้ให้ได้ แล้วเตรียมปรับที่อยู่อาศัยให้เหมาะกับวัยมากขึ้น โดยสามารถทำได้ด้วยการจัดบ้านให้โล่งขึ้น อย่าขัดเงาพื้นบ้านเพราะอาจทำให้ลื่นล้มได้ง่าย รวมทั้งเตรีบมพร้อมเรื่องไฟฟ้าให้มีความสว่างเพียงพอต่อการใช้งาน

ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเตรียมพร้อมเพื่อใช้เวลาในยามเกษียณอย่างมีคุณค่า ทุกคนต้องเริ่มวางแผนชีวิตล่วงหน้ากันไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ และหากสามารถทำตามได้ตามที่วางแผนไว้จะทำให้สุขภาพร่างกายและจิตใจแข็งแรงอย่างแน่นอน ดังนั้นใครที่กำลังนับถอยหลังเข้าวัยเกษียณหรือมีคนในครอบครัวกำลังเตรียมความพร้อมเรื่องเหล่านี้อยู่ สามารถนำทั้ง 5 เรื่องเหล่านี้ไปใช้เป็นเช็คลิสท์ในการดูแลตัวเองได้เลย

เปิดเทคนิคเขียนคอนเทนท์ ให้ดีด้วย 5 วิธีพิเศษ

เปิดเทคนิคเขียนคอนเทนท์ ให้ดีด้วย 5 วิธีพิเศษ

ตลาดการสร้างคอนเทนต์ในปัจจุบันมีความหลากหลาย แถมยังมีการแข่งขันที่ค่อนข้างสูง ดังนั้นการเขียนคอนเทนต์ให้ปังและสามารถดึงดูดลูกค้าได้จริง จึงเป็นจุดประสงค์หลักของการทำการตลาดออนไลน์ในปัจจุบันเลยทีเดียว ซึ่งการจะบรรลุเป้าหมายหลักที่กล่าวถึงได้นั้น ต้องมีการงัดทุกยุทธวิธีมาใช้ในการเขียน ซึ่งวันนี้เราจะมาแนะนำเทคนิคที่มีประโยชน์และสามารถนำมาปรับใช้ได้จริงทั้ง 5 ข้อดังนี้

  1. ต้องมีจุดประสงค์ในการเขียน

การจะเขียนคอนเทนต์ขึ้นมาซักหนึ่งเรื่องไม่สามารถเขียนแบบล่องลอยไม่มีแก่นสารได้ อันดับแรกต้องรู้ก่อนว่าจุดประสงค์ของการเขียนเรื่องนี้คืออะไร เช่น เขียนเพื่อให้ความรู้ เขียนเพื่อแนะนำสินค้าหรือบริการ เป็นต้น เมื่อรู้แล้วว่าวัตถุประสงค์ของเนื้อหาคืออะไร ลำดับต่อไปให้พยายามสร้างสรรค์เนื้อหาเพื่อตอบโจทย์นั้นให้ครบถ้วน จึงจะนับได้ว่าเป็นงานเขียนที่มีคุณค่า

  1. ทำเนื้อหาให้มีความเฉพาะตัว

ถ้าเนื้อหาที่นำเสนอออกไปถูกสร้างขึ้นมาจากการคัดลอกเนื้อหาของบุคคลอื่น งานนั้นจะไม่ได้รับความสนใจจากผู้ใช้งานอย่างแน่นอน แถมอาจจะมีความผิดเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์อีกด้วย ดังนั้นต้องมั่นใจว่าคอนเทนต์ที่เขียนขึ้นมามีความเฉพาะตัว และมีแหล่งข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือตามหลักความเป็นจริง

  1. มีภาพและสถิติ

การที่เว็บไซต์มีแต่เนื้อหายาว ๆ เต็มไปด้วยตัวอักษร จะไม่สามารถสร้างความน่าสนใจและดึงดูดผู้คนให้เข้ามาใช้งานเว็บไซต์เหล่านั้นได้ ดังนั้นการจัดวางเนื้อหาต้องเรียบง่ายและมีระบบ รวมทั้งมีการแสดงภาพหรือสถิติต่าง ๆ เพื่อให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจ ภาพที่ใส่ควรมีความละเอียดและขนาดที่เหมาะสม รวมทั้งมีความสอดคล้องกับเนื้อหาที่ต้องการอิบายด้วย

  1. ชื่อเรื่องติดหู

ต่อให้เนื้อหาจะดีแค่ไหน แต่สิ่งที่ผู้อ่านมองเห็นเป็นสิ่งแรกคือชื่อของบทความ ดังนั้นต้องใส่ใจและให้ความสำคัญกับการตั้งชื่อบทความให้ดี โดยควรเป็นชื่อที่น่าสนใจ ใช้คำเข้าใจง่ายและติดหู รวมทั้งควรเป็นชื่อที่ครอบคลุมใจความสำคัญของเนื้อหา และควรมีความยาวที่พอเหมาะพอดีให้ดูสวยงามเวลาจัดวางบนหน้าจอนำเสนอ

  1. มีการเปรียบเทียบหรือยกตัวอย่าง

การเขียนคอนเทนต์ให้เห็นภาพมีสามารถนำอีกสองเทคนิคมาใช้ได้อย่างเหมาะสม อันดับแรกคือการเปรียบเทียบประเด็นหลายประเด็น ให้เห็นถึงความแตกต่างและจุดเด่นของแต่ละอย่าง เพื่อให้ผู้อ่านสามารถเลือกสิ่งที่เหมาะสมกับตนเองได้ อีกวิธีการคือการยกตัวอย่าง บางครั้งคำอธิบายเฉย ๆ จะไม่สามารถสื่อใจความออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ถ้าผู้เขียนสามารถยกตัวอย่างให้เห็นภาพมากขึ้น จะง่ายต่อการสื่อสารกับผู้บริโภคมากขึ้นแน่นอน

ทั้ง 5 เทคนิคที่เรานำมาแนะนำกันในวันนี้เป็นสิ่งที่มีความจำเป็นและสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับคอนเทนต์ได้ทุกประเภท จึงเป็นสิ่งที่ครีเอเตอร์ทุกคนต้องให้ความสำคัญและสร้างสรรค์ประเด็นต่าง ๆ เหล่านี้อย่างพิถีพิถัน จึงจะสามารถเอาชนะใจลูกค้าได้อย่างสมบูรณ์